วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คำศัพท์ บทที่14

คำศัพท์   
  1. การพัฒนากลยุทธ์               Strategic Development
  2. การจัดการทรัพยากร           Resource Management
  3. สถาปัตยกรรมเทคโนโลยี    Architectural Technology 
  4. ทรัพยากรข้อมูล                  Information Resources
  5. เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กร  Information technology
  6. ด้านประสิทธิภาพ                  Performance
  7. การจัดการไอทีไร้พรมแดน   IT management Borders
  8. ห้างสรรพสินค้า                    Department store
  9. ความท้าทายด้านวัฒนธรรม   Cultural challenges 
  10. ความท้าทายด้านนโยบาย      Policy challenges


บทที่14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่องที่2 ความล้มเหลวในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ

บทที่14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เรื่องที่2 ความล้มเหลวในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ

ประเด็นแรก เกี่ยวกับ Hardware สถานศึกษาหลายแห่งโดยเฉพาะที่อยู่ชนบทห่างไกล หรือเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีจำนวนเครื่องไม่เพียงพอ ขาดงบประมาณสนับสนุน เครื่องที่ได้จากการบริจาคบางที่เป็นเครื่องที่ล้าสมัย ความเร็วต่ำ จำนวนเครื่องต่อคนใช้ในอัตราสูง ( สถานศึกษาร้อยละ 55 ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต่อนักเรียน 20 คน ร้อยละ 25 ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต่อนักเรียน 21-40 คน ส่วนที่เหลือมีสัดส่วนนักเรียนมากกว่า 40 คนต่อ 1 เครื่อง : ข่าวสด หน้า 28 - วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6306 )

ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับ Software เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีด้านโปรแกรม เป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในการพัฒนาโปรแกรมใช้งานของโรงเรียนให้ทันสมัยอยู่เสมอก็เป็นเรื่องลำบาก ติดปัญหาตรงที่สภาพเครื่องไม่รองรับโปรแกรมบ้าง ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจบ้าง

ประเด็นที่สาม คือด้านการบริหารจัดการ โรงเรียนให้ความสำคัญกับการมีเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆในโรงเรียน (เพราะมีผลต่อการประเมินภายนอกของ สมศ. ในมาตรฐานที่ 5 และ 10 ด้วย) แต่ยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการจัดหา ดูแลรักษา ระบบการวางแผนใช้งาน และการติดตามประเมิน

ประเด็นที่สี่ คือด้านบุคลากรซึ่งถือว่าเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญ เพราะเหล่านโยบาย มาตรฐานต่างๆ ที่เขียนขึ้นมาต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากบุคลากร โดยเฉพาะครู ปัญหาการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวกับบุคลากรซึ่งมักจะได้ยินได้ฟัง หรือพบเห็นตามสื่อสิ่งพิมพ์ บนกระทู้ต่าง ๆ จากอินเตอร์เน็ต เช่น โรงเรียนขาดครูที่จบทางด้านนี้โดยตรง ครูไม่มีความรู้ด้านการใช้งาน ICT ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะจัดงบประมาณส่งเสริมด้านนี้ในแต่ละปีมากพอสมควร แต่พฤติกรรมหลังการอบรมแล้วครูไม่ได้ใช้ความรู้จากการอบรม หรือใช้ก็ส่วนน้อย อาจจะติดขัดที่เรื่องประเด็นเวลา หรือภาระงานที่มากเกินไป หรือบางครั้งเมื่อนำไปใช้แล้วประสบปัญหาเกิดความท้อถอย ปัญหาด้านทัศนคติของครูต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อาจจะเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งอาจจะมาจากเรื่องของภาษาในโปรแกรม โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในโปรแกรมซับซ้อนเข้าใจยาก ปัญหาด้านพฤติกรรมการใช้งาน ที่พบบ่อย ๆ คือ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องพิมพ์ดีดราคาแพง นักเรียนใช้เครื่องเพื่อการบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีมากกว่าการใช้เพื่อการเสาะแสวงหาความรู้จากเทคโนโลยีสารสนเทศ

ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของการดำเนินงานตามนโยบายและมาตรฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา ที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องการเห็นการนำมาใช้อย่างจริงจังเพื่อการพัฒนาการศึกษาของชาติก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ คำตอบที่สำคัญจึงอยู่ที่ตัวครู ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการ เพราะครูคือพลังขับเคลื่อนการศึกษาที่สำคัญ หากครูไม่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียนการสอน อย่างจริงจัง ครูยังใช้วิธีการสอนแบบเดิม ๆ และไม่พัฒนาศักยภาพด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้แล้ว แนวนโยบายและมาตรฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาที่กำหนดขึ้นมาก็คงเป็นแค่ความหวังที่อยากให้มี มากกว่าที่จะเป็นรูปธรรมจริง


อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษาของหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นไปอย่างอิสระทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ ประกอบกับขาดความพร้อมทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเชื่อมระบบซอฟแวร์ เป็นต้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ อันได้แก่ ปัญหาการผลิตข้อมูลปฐมภูมิที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่ผู้ต้องการใช้ ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลทุติยภูมิ ปัญหาการประสานงานเครือข่าย รวมทั้งปัญหาการดำเนินงานสารสนเทศ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ส่งผลไปถึงการจัดการศึกษาที่ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงาน

จากปัญหาข้างต้น จึงจำเป็นจะต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา โดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักการพัฒนาร่วมกันระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถประสานการดำเนินงาน และการนำทรัพยากรมาใช้ในการบริหารการวางแผนการจัดการศึกษา และการฝึกอบรมร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแบ่งได้เป็น

1. ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา มีสถานศึกษาจานวนหนึ่งที่โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง และคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีแต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และที่มีอยู่ก็ขาดการบำรุงรักษา รวมทั้งไม่อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะคู่สายโทรศัพท์ยังมีบริการไม่ทั่วถึง อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานศึกษาเหล่านี้อยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ดังนั้นสถานศึกษาต้องรีบดำเนินการเพราะเป็นพื้นฐานที่จะไปสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

2. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพครูน้อยมาก และคอมพิวเตอร์มีจำนวนไม่พอกับความต้องการที่ครูจะใช้

แสดงให้เห็นว่าครูยังต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกเป็นจำนวนมาก และสถานศึกษาก็ต้องจัดหาคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการของครู

3. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ ผู้บริหารให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูลสารสนเทศที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้เกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะนำมาพัฒนาการบริหารจัดการและการบริการทางการศึกษา

4. ด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาตนเองของครูด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังขาดความต่อเนื่อง บางคนใน 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไปเข้ารับการฝึกอบรมด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเลย แสดงให้เห็นว่า ครูได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยังไม่ทั่วถึงเพราะมีครูอีกจำนวนหนึ่งที่ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับการอบรมด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเลย

สรุป
ในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาอาจเกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามมา ทั้งผลกระทบต่อผู้ใช้นวัตกรรมคือผู้สอน หรือผู้บริหาร และผลกระทบต่อผู้เรียน เช่น ปัญหาการปรับพฤติกรรมการสอนของครูผู้สอน ปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี ปัญหาด้านงบประมาณในการจัดหาเทคโนโลยี เป็นต้น นอกจากผลกระทบต่อการศึกษาโดยตรงแล้วยังมีผลกระทบต่อด้านอื่น เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาต่อเศรษฐกิจ เป็นต้น ดังนั้นผู้ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาควรเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของสิ่งเหล่านี้ เพื่อเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพต่อการศึกษามากที่สุด


บทที่14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่องที่1 ธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ

บทที่14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ 
เรื่องที่1 ธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ 

     ผู้บริหารต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี และการตัดสินใจที่ต้องกระทำอย่างสอดคล้องกัน ปัจจุบันผู้บริหารต้องประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและ การตัดสินใจทางธุรกิจขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์และสร้างโอกาสในการประยุกต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ องค์การ ผู้บริหารต้องสามารถจัดการกับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.  กำหนดกลยุทธ์องค์การที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.  กำหนดแผนงานสารสนเทศระดับองค์การและการดำเนินงาน กำหนดโครงสร้างหน่วยงานสารสนเทศ
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศขององค์การ (information system infrastructure) เช่น อุปกรณ์ ชุดคำสั่ง ระบบสื่อสารและจัดการข้อมูล ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดศักยภาพ และความยืดหยุ่นในการปรับตัวของงานสารสนเทศในองค์การ
4.  กำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายในองค์การ พร้อมทั้งพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความพร้อมต่อการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดแก่องค์การ


ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ
                ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (business information systems) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ทั้งองค์การ สามารถประสานงานและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับปฏิบัติ งานและระดับบริหาร โดยเราสามารถจำแนกระบบสารสนเทศตามหน้าที่ทางธุรกิจตามหน้าที่ดังต่อไปนี้
1.  ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information system)
2.  ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (financial information system)
3.  ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (marketing information system)
4.  ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินงาน (production and operations information system)
5.  ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล (human resource information system)

ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี
                        ปัจจุบันงานของนักบัญชีมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยทำให้มีการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จรูป หรือชุดคำสั่ง เฉพาะสำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความถูกต้องใน การทำงานแก่ผู้ใช้ ทำให้นักบัญชีมีเวลาในการปฏิบัติงานเชิงบริหารมากขึ้น เช่น การออกแบบและพัฒนาระบบงาน พัฒนาระบบงบประมาณและระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น โดยที่ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information systems) หรือที่เรียกว่า AIS จะเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภาย ในและภายนอกองค์การ โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือ การประมวลผล เชิงปริมาณมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ โดยระบบสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วนคือ

                1.  ระบบบัญชีการเงิน (financial accounting system) บัญชีการเงินเป็นการบันทึกรายการคำที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ นำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้และผู้ที่สนใจข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุนและเจ้าหนี้ นอกจากนี้ยังจัดเตรียมสารสนเทศในการตัดสินใจของผู้บริหาร ซึ่งนักบัญชีสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศใช้ในการประมวลข้อมูล โดยจดบันทึกลงในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปหรือจานแม่เหล็ก เพื่อรอเวลาสำหรับทำการประมวลและแสดงผลข้อมูลตามต้องการ

                2.  ระบบบัญชีบริหาร (managerial accounting system) บัญชีบริหารเป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ
ระบบสารสนเทศด้านการเงิน
ระบบการเงิน (financial system) เปรียบเสมือนระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกายที่สูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วนเป็นปกติ ถ้าระบบหมุนเวียนโลหิตไม่ดี การทำงานของอวัยวะก็บกพร่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดย ตรงต่อระบบร่างกาย ระบบการเงินจะเกี่ยวกับสภาพคล่อง (liquidity) ในการดำเนินงาน เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสดหมุนเวียน ถ้าธุรกิจขาดเงินทุน อาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งโดยตรงและทางอ้อม โดยที่การจัดการทางการเงินจะมีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
                1.  การพยากรณ์ (forecast) การศึกษา วิเคราะห์ การคาดกราณ์ การกำหนดทางเลือก และการวางแผนทางด้านการเงินของธุรกิจ เพื่อใช้ทรัพยากรทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนักการเงินสามารถใช้หลักการทางสถิติและแบบจำลองทาง คณิตศาสตร์มาประยุกต์ การพยากรณ์ทางการเงิน จะอาศัยข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอกองค์การ ตลอดจนประสบกราณ์ของผู้บริหารในการตัดสินใจ
                2.  การจัดการด้านการเงิน (financial management) เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น รายรับและรายจ่าย การหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก เพื่อที่จะเพิ่มทุนขององค์การ โดยวิธีการทางการเงิน เช่น การกู้ยืม  การออกหุ้นหรือตราสารทางการเงินอื่น เป็นต้น
                3.  การควบคุมทางการเงิน (financial control) เพื่อติดตามผล ตรวจสอบ และประเมินตวามเหมาะสมในการดำเนินงานว่าเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่ ตลอดจนวางแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงให้การดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจมี ประสิทธิภาพ โดยที่การตรวจสอบและการควบคุมการทางการเงินของธุรกิจ



คำศัพท์ บทที่13

คำศัพท์ บทที่13

  1. จริยธรรมทางธุรกิจ                   Business Ethics 
  2. จริยธรรมทางเทคโนโลยี          Ethics Technology
  3. เครื่องชี้นำด้านจริยธรรม           Ethical guidelines
  4. อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์   Computer crime
  5. การขโมยทางอิเล็กทรอนิกส์     Electronic theft
  6. ไวรัสคอมพิวเตอร์                    Computer Virus
  7. ข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย   Site Licenses
  8. การคัดลอกซอฟแวร์                 Copy software
  9. กฎหมายความเป็นส่วนตัว          Privacy Law
  10. ความเป็นส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต   Privacy On the Internet

บทที่13 ความปลอดภัยและความท้าทายทางด้านจริยธรรม เรื่องที่2 ระบบการควบคุมและตรวจสอบ

บทที่13 ความปลอดภัยและความท้าทายทางด้านจริยธรรม 
เรื่องที่2 ระบบการควบคุมและตรวจสอบ

     เรื่องความเสี่ยง การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบ การควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน ฝ่ายจัดการนำนโยบายมากำหนดวิธีปฏิบัติ สื่อสารและติดตามการดำเนินงานของบริษัทให้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากลการปฏิบัติงานเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังนี้

–   การกำกับดูแล  อ้างอิง Organization for Economic Co-operation and Development (OECD)/ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย/สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)

–   การบริหารความเสี่ยง  อ้างอิง COSO Enterprise Risk Management/ISO 31000

–   การควบคุมภายใน  อ้างอิง COSO Internal Control Framework 2013/COBIT

     คณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการตรวจสอบ และฝ่ายบริหารกำหนดให้การควบคุมภายในของบริษัทเป็นไปตามกรอบการควบคุมภายในของ COSO 2013 (The Committee of Sponsoring Organization of Tradeway Commission) ทั้ง 5 องค์ประกอบ 17 หลักการและ 91 จุดสำคัญ

      โดยมีหน่วยงานตรวจสอบภายในทำหน้าที่ประเมินความเพียงพอของระบบการควบคุมภายในของบริษัทตามแบบประเมินของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และรายงานต่อฝ่ายบริหารเพื่อพิจารณา จากนั้นนำเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอรายงานต่อคณะกรรมการบริษัทในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1/2558 ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 โดยมีกรรมการอิสระ 3 คน ซึ่งเป็นกรรมการตรวจสอบ 3 คนเข้าร่วมประชุมและพิจารณาให้ความเห็นชอบ

       คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาแบบประเมินความเพียงพอของระบบการควบคุมภายในแล้วมีความเห็นว่าระบบการควบคุมภายในของบริษัทมีความเหมาะสมเพียงพอและมีประสิทธิผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ตลอดจนดูแลรักษาทรัพย์สินและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ไม่พบข้อบกพร่องที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับระบบการควบคุมภายใน

      บริษัทปลูกฝังให้ฝ่ายบริหาร หัวหน้างาน และพนักงานตระหนักเรื่องการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน โดยคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าบริษัทมีจำนวนบุคลากรอย่างเพียงพอในการดำเนินการตามระบบดังกล่าว รวมทั้งมีระบบการควบคุมภายในสำหรับติดตามควบคุมดูแลการรวมทั้งมีระบบการควบคุมภายในสำหรับติดตามควบคุมดูแลการดำเนินงานของบริษัทย่อย เพื่อป้องกันทรัพย์สินของบริษัทและบริษัทย่อยจากการที่กรรมการหรือผู้บริหารนำไปใช้โดยมิชอบหรือไม่มีอำนาจ รวมถึงการทำธุรกรรมที่กับบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งและบุคคลที่เกี่ยวโยงกันอย่างเพียงพอ

     ฝ่ายบริหารในฐานะผู้กำกับดูแลต่อจากคณะกรรมการบริษัทได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเพื่อสร้างระบบงานเชิงป้องกันในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ในปี 2557 ฝ่ายบริหารได้อนุมัติหลักการหรือเครื่องมือการกำกับดูแล/ควบคุมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง
การต่อต้านคอร์รัปชั่น (Anti – Corruption)

ในปี 2557 คณะกรรมการบริษัทได้ประกาศใช้นโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นเพื่อให้ฝ่ายบริหารและพนักงานทุกคนเข้าใจและปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ฝ่ายบริหารทำหน้าที่ผลักดันการดำเนินการตามนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นโดยวางแผนร่วมกับหน่วยงานตรวจสอบภายในเพื่อนำอุดมการณ์ 4 คู่มือบรรษัทภิบาล คู่มือจรรยาบรรณ และนโยบายที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของเอสซีจีมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริษัท หน่วยงานตรวจสอบภายในให้การสนับสนุน ให้คำปรึกษา จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) และประเมินความเสี่ยงในการทุจริตคอร์รัปชั่นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อกำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยงและวิธีการควบคุม


การตรวจสอบการปฏิบัติงานด้วยตนเอง ตามแนว Three Lines of Defense

ฝ่ายบริหารสนับสนุนให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติงานด้วยตนเองเพื่อให้เกิดแนวคิดในเชิงป้องกันความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปตามกรอบการควบคุมภายในของ COSO ใหม่ (COSO 2013) ที่กล่าวถึงบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานตามแนวทาง “ปราการ 3 ด่านในการจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (Three Lines of Defense)” หน่วยงานตรวจสอบภายในเพิ่มความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและการควบคุมภายในโดยจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ให้กับผู้ปฏิบัติงานและหน่วยงานสนับสนุนต่าง ๆ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานในเรื่องการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายใน ความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงานและหัวหน้าภายในหน่วยงานเอง (1st Line) และความร่วมมือกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานแต่ละหน่วยงาน (1st Line) กับหน่วยงานสนับสนุน (2nd Line) รวมทั้งหน่วยงานตรวจสอบภานใน (3rd Line)  ได้ตรวจสอบและติดตามประเมินความเพียงพอและประสิทธิผลของการควบคุมภายใน และให้คำปรึกษาการตอบสนองความเสี่ยงเพื่อสนับสนุนต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ที่บริษัทตั้งไว้

การพัฒนาระบบข้อร้องเรียน

บริษัทพัฒนาระบบการรับข้อร้องเรียน (Whistleblower System) สำหรับพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียภายนอก เพื่อแจ้งเบาะแสการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักบรรษัทภิบาล คู่มือจรรยาบรรณ การกำกับดูแล ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย และนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น รวมถึงการกระทำทุจริต โดยพนักงานสามารถแจ้งผ่าน Web Intranet ของบริษัท และผู้มีส่วนได้เสียภายนอกสามารถแจ้งผ่านเว็บไซต์ของบริษัท นอกจากนี้ผู้ร้องเรียนสามารถติดตามผล ข้อร้องเรียนผ่านระบบได้ ซึ่งระบบดังกล่าวช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ระบบการรับข้อร้องเรียนได้รับการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานตรวจสอบภายในโดยการใช้งานของโปรแกรมจะใช้ Password 2 ชั้นและใช้ Server แยกเป็นอิสระจากการใช้งานอื่นๆ เพื่อสะดวกต่อการรักษาความปลอดภัยและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลไปสู่บุคคลที่เกี่ยวข้อง

การกำกับดูแลและควบคุมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะบริษัทที่ผลิตสินค้าหรือให้บริการ ทั้งอำนวยความสะดวก รวบรวมข้อมูลเพื่อการวางแผน กำหนดกลยุทธ์ และใช้ตัดสินใจได้ทันเวลาต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่รวดเร็ว ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทมีการใช้เทคโนโลยีระดับสูงและซับซ้อนมากขึ้น บริษัทมีคณะทำงาน  IT
Governance ทำหน้าที่กำกับดูแลการใช้งานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์และความปลอดภัยสูงสุด รวมถึงการประเมินความเสี่ยงและการควบคุมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย นอกจากนี้หน่วยงานต่าง ๆ ในบริษัท (ผู้รับการตรวจ) ร่วมกับทีมผู้ตรวจสอบดำเนินการพัฒนาระบบ Continuous Monitoring & Continuous Auditing อย่างต่อเนื่องเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ติดตาม แก้ไขรายการผิดปกติ และกำหนดแนวทางป้องกันได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการควบคุมภายใน และการดำเนินงานของบริษัท